ทำไมต้องกังวนกับทางสามแพร่ง...

คนเราโดยปกติชนแล้วชอบที่จะค้นหาในสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรจะรู้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เราก็ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ผมคิดกลับกัน บางอย่างไม่รู้จะดีกว่า รู้แล้วเป็นทุกข์ก็ไม่รู้จะรู้ไปทำไม ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในศาสตร์ต่างๆ และเลือกมองเอาแต่ข้อที่ดีของศาสตร์ต่างๆมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ความจริงก็คือ เกิดแล้วต้องตาย นี่หล่ะแน่แท้สุดๆ ไม่เร็วก็ช้า ไม่ว่าช่วงชีวิตที่ยังหายใจอยู่จะออกมาหรือถูกกำหนดให้ป็นเช่นไร ก็ตามแต่ความเมตรตา แต่ตัวเราเองเราต้องรู้ตัวเอง อันไหนดีอยู่บนบรรทัดฐานที่ดีก็เลือกใช้เอา เช่น ถ้าอยากพบความสงบ ก็ให้สวดมนต์ฝึกสมาธิ ก็เท่านั้นแหละครับชีวิต ที่พักที่ทำมาหากินของผมตั้งอยู่บนทางผีผ่านไปนรกอเวจีด้วยซ้ำ ผมต้องเข้าใจก่อนเลยว่ามันย่อมไม่ดีแน่นอน แต่ผมได้เลือกแล้ว ได้ทำแล้ว และต้องทำมันให้ดีด้วย ผีก็ผีเถอะ หยุดความมุ่งมั่นตั้งใจของเราไม่ได้หรอก ผมบอกตัวเองแบบนั้น.. 1.คิดดี 2.ทำดี พวกคุณๆเคยสงใสเหมือนผมบ้างมั้ยครับ ว่าทำไมเราต้องมารับในสิ่งที่เราไม่ได้ทำมา เพราะตั้งแต่เกิดมาเราเคยทำอะไรไปเรารู้อยู่มิใช่รึ แต่ก่อนหน้าเราจะเกิดทำไมเราต้องรับมันไว้ด้วย ผมเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง แต่ผมไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นมันจะทำให้เราต้องวิบัติ ถ้าเราอโหสิให้แล้ว เขายังไม่ นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราต้องกังวลอีกแล้ว เพราะใจเราบริสุทธิ์แล้วกายเราต้องย่อมบริสุทธิ์ตามมา มันจะอะไรก็ตามให้มันเข้ามาผมเชื่อว่าเราสู้มันได้..

ขอบคุณสำหรับแง่คิดดีๆครับ คิดดี ทำดี และเวรกรรมมีจริง ... ผมเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นเดียวกัน

ส่วนทางสามแพร่ง ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรวิตกเกินไป แต่ถ้าสามแพร่งขนาดใหญ่ๆก็เลี่ยงไว้บ้างก็ดี เหมือนกับ การที่คนเราเรียนรู้ว่า ฝนตกหนักก็ควรหาที่หลบฝน ... แดดแรงๆก็ควรหาร่มไม้บังบ้าง เป็นหลักการอาศัยอยู่กับธรรมชาติโดยไม่ให้ตัวเราเจ็บป่วยเดือดร้อน

เรื่องของฮวงจุ้ย จึงเป็นหลักการอาศัยอยู่กับพลังงานธรรมชาติโดยไม่ให้ตัวเราเจ็บป่วยเดือดร้อนเป็นอันดับต้นๆ

เมื่อกายสบายแล้ว ใจก็มีโอกาสสบายได้ ... แต่ถ้ากายเราไม่สบาย เจ็บป่วย โอกาสที่ใจจะสบายก็น้อยลง สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกื้อกูลและเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน